มะเร็งเต้านม กับ ประสบการณ์ชีวิตที่มีค่ายิ่ง ตอนที่ 1 เรื่องราวของ คุณสุชาดา สังข์เจริญ

16-Nov-2018     อ่าน : 2176 คน


     ฉันเป็นคนดูแลรักษาสุขภาพตัวเองอยู่เสมอด้วยการออกกำลังกาย วิ่งหรือเล่นโยคะและพักผ่อนเที่ยวต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว รับประทานอาหารเน้นสิ่งที่มีประโยชน์ประเภทผัก ไม่ทานเนื้อวัว ของหมักดองและอาหารที่ใส่สีฉูดฉาด นอกจากนี้ยังเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีจากสถานพยาบาลทุกปี สิ่งข้างต้นคงไม่น่าจะเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีความแน่นอน

       ดิฉันเป็นข้าราชการและเป็นอาจารย์สอนพิเศษในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในวันเสาร์ในภาคเรียนปกติและวันเสาร์และวันอาทิตย์ในภาคเรียนฤดูร้อน ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปสอน ดิฉันชอบการสอนเพราะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตนเอง ได้พบกับผู้เรียนซึ่งมีหลากหลาย ได้เดินทางออกจากกรุงเทพเหมือนได้ไปต่างจังหวัด ดิฉันสอนพิเศษมาเป็นเวลาประมาณ 5 ปี

        ดิฉันชอบและรักการสอนเพราะเป็นงานด้านวิชาการตรงกับงานที่ทำอยู่ และคิดว่าการเดินทางไปสอน การเตรียมสอนและการเร่งสอนให้ทันเวลาครบถ้วนในเนื้อหาสาระของวิชา โดยบางครั้งต้องสอนเพิ่มเติมทั้งคนเรียนและผู้สอนต่างเหนื่อยด้วยกัน เป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาอะไร สอนเสร็จเมื่อกลับเข้าที่พักก็หาอาหารอร่อยๆ ทานและพักผ่อน วันธรรมดาก็ไปทำงานปกติ ผลการตรวจสุขภาพประจำปีมีน้ำตาล ไขมันและความดันโลหิตปกติ และมีอาการอื่น ได้แก่ ปวดหลังและก้อนซีสต์ที่เต้านมดิฉันคิดว่าเป็นปกติ เพราะพบก้อนซีสต์โดยการตรวจด้วยตนเองก็ไปพบแพทย์ ใช้เข็มเจาะดูดน้ำจากก้อนซีสต์เพื่อนำไปวิเคราะห์เซลล์แล้วนัดฟังผลหลายครั้งทั้งสองข้างสลับกันไปมา

      ดิฉันได้เข้าตรวจและผ่าก้อนซีสต์ ออกทั้งโดยการฉีดยาชาและวางยาสลบ ซึ่งถือว่าเป็นผ่าตัดเล็กคือผ่าแล้วกลับบ้านได้เลย ทั้งไปเองคนเดียว ให้แม่หรือพี่สาวไปเป็นเพื่อนอยู่หลายครั้งหลายสถานพยาบาล ดิฉันไม่คิดว่าความผิดปกติของเซลส์ตัวเองที่เกิดเป็นก้อนซีสต์ขึ้นบ่อยครั้งแม้จะไม่อันตราย จะเป็นเหตุที่มาของประสบการณ์ชีวิตที่มีค่ายิ่งในครั้งนี้

        ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเป็นสาเหตุ แม้ในปัจจุบันวงการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งที่ชัดเจนได้ ทางวิชาการอาจกล่าวว่าอาจเกิดจากยีน พันธุกรรม ฮอร์โมน การสะสมของอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี อากาศที่ปนเปื้อนสารพิษ ความเครียดของร่างกายหรืออื่นๆ ในทางธรรมะกล่าวว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม สำหรับดิฉันไม่โทษสิ่งใดๆ

      ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 เป็นช่วงที่เข้ารับการตรวจสุขภาพพอดี ดิฉันตรวจด้วยตนเองพบก้อนเนื้อที่เต้านมข้างขวาเม็ดเท่าถั่วเหลือง จึงเข้ารับการเจาะดูดน้ำจากก้อนเนื้อไปตรวจ เมื่อฟังผลแพทย์แจ้งว่าขอเจาะอีกครั้งหนึ่งคราวที่แล้วได้เซลส์ไม่เพียงพอ และเมื่อฟังผลครั้งที่ 2 แพทย์ขอตัดชิ้นเพื่อไปตรวจ ซึ่งขณะนั้นจากก้อนเม็ดที่คลำเจอซึ่งอยู่ที่ฐานเต้านมได้เลื่อนมาเป็นก้อนเนื้อด้านบน ดิฉันเจ็บมาก เพราะท่านผู้ผ่าตัดได้ฉีดยาชาและผ่าตัดให้ทันที โดยให้นอนคว่ำหน้าหย่อนเต้านมลงในช่องของเตียงผ่าตัด

     หลังผ่าแผลก้อนเนื้อมีเลือดสีคล้ำ แพทย์นัดฟังผลอีก 1 สัปดาห์ต่อมา ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนไม่คิดอะไรมากและไม่เป็นคนช่างสังเกต คิดว่าฟังผลครั้งนี้ก็คงปกติเหมือนเดิม โดยดิฉันไปรับผลทางพยาธิของก้อนเนื้อด้วยตนเอง และอ่านผลคร่าวๆ ตามประสาคนไม่มีความรู้ภาษาวิชาทางการแพทย์ ซึ่งผลระบุในช่องข้อความภาษาอังกฤษว่า No ดิฉันก็อุ่นใจ และมิได้เฉลียวใจใดๆ แพทย์แจ้งผลและขอนัดผ่าตัดด่วนภายใน 2 สัปดาห์ ดิฉันมีอาการมึนงง ตกใจ และขอเลื่อนการผ่าตัดออกไปโดยบอกว่าขอเคลียร์เรื่องงานสอนที่มหาวิทยาลัยก่อน แพทย์บอกว่าไม่ได้ต้องผ่าตัดด่วนและต้องให้ยาเคมีด้วย ฉันกลับไปที่ทำงานด้วยความเศร้าใจแจ้งข่าวให้เพื่อนๆ และน้องๆ ทราบทุกคนแสดงความเห็นใจ
 
         วันที่ 26 มีนาคม 2543 ดิฉันได้รับยาสลบและเข้าผ่าตัดในเวลา 8 โมงเช้า และถูกเข็นออกจากห้องผ่าตัดประมาณเวลาเที่ยงในวันนั้น ฉันเพลียและหลับด้วยฤทธิ์ของยาสลบ มีเพื่อนๆ น้องๆ มาเยี่ยมตลอดเวลาที่โรงพยาบาล ดิฉันแข็งแรงทานอาหารได้ แผลมีน้ำเหลืองน้อยและแห้งเร็ว ทางโรงพยาบาลมีกิจกรรมช่วงบ่ายโดยให้ผู้ป่วยที่ผ่าตัดมีกิจกรรมสันทนาการ ฟังบทความและกายบริหารแขนหลังผ่าตัด ดิฉันมีเพื่อนร่วมคลาสผ่าตัดพร้อมกันหลายคน ทุกคนสนิทกันพูดคุยให้ความรู้แก่กันในเรื่องยา การรักษาสุขภาพ การกินอาหาร อาหารเสริมและสมุนไพรต่างๆ ตามประสาผู้ป่วยหัวอกเดียวกัน ผู้ป่วยบางคนผ่าตัดแล้วไม่ต้องให้ยาเคมีไม่ต้องฉายแสง บางคนไม่ได้ยาเคมีแต่ต้องฉายแสง ฉันต้องให้ยาเคมีแต่ไม่ต้องฉายแสง บางคนไม่ต้องให้ยาเคมีแต่สัปดาห์หน้าต้องผ่าตัดอีกข้างหนึ่ง บางคนก็ต้องผ่ามดลูกออกไปด้วย หลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์ ฉันกลับไปพักฟื้นที่บ้านเริ่มดูแลเรื่องอาหารและกายบริหารตามแพทย์สั่ง และอีก 2 สัปดาห์ ดิฉันเข้ารับการแนะนำและรับเคมีทั้งหมดรวม 4 ครั้ง ซึ่งน้อยที่สุดในผู้ป่วยด้วยกัน เนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาดเพียง 1.5 ซม.อยู่ในระยะขั้นที่ 1
 
       ก่อนการได้รับยาเคมีแต่ละครั้งดิฉันเตรียมทั้งกายและใจเพื่อเข้ารับเคมี เตรียมกาย คือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มพลังงาน กินสมุนไพรจีนเพื่อไม่ให้เพลีย ออกกำลังกายเดิน-วิ่งทุกวัน เตรียมใจ คือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ใช้ธรรมะและท่องบทสวดมนต์ในช่วงเวลาที่ได้รับยาเคมีและก่อนนอนทุกวัน ดิฉันปกติไม่เพลีย ทุกครั้งหลังรับยาเคมีดิฉันจะบำรุงร่างกายและทานอาหารตามที่ได้รับแนะนำ ได้แก่ ไข่วันละ 6 ฟอง กินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักและผลไม้ และออกกำลังกาย หากมีแผลที่ปากให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ เก็บและทำความสะอาดห้องนอน หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชน ดิฉันปฏิบัติตัวทำให้ทานอาหารได้ นอนหลับ ไม่อาเจียน แต่เหม็นกลิ่นกระเทียมเจียวและสบู่ยาฆ่าเชื้อ กลางคืนปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นปกติของคนได้รับยาเคมี
 
       ช่วงเวลาการได้รับยาเคมีของดิฉันใช้เวลาถึง 3-4 เดือน เนื่องจากเมื่อรับยาเคมีเข็มที่ 3 ดิฉันเปลี่ยนอาหารไปรับประทานมังสวิรัติตามคำแนะนำของเพื่อนรุ่นพี่ (ซึ่งเป็นที่มดลูก) ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ติดเชื้อ ปากและลิ้นมีแผล กินอาหารไม่ได้ แม้กล้วยน้ำว้าเวลากลืนก็เจ็บคอไปหมด

    ดิฉันคิดว่าบุญของดิฉันที่ได้เคยทำไว้เมื่อใดไม่รู้แน่ มีและส่งผลให้เพื่อนที่เคยรู้จักกันแต่ไม่ได้ติดต่อกันมานานซึ่งทราบข่าวการป่วยของดิฉัน ได้มาเยี่ยมดิฉันที่บ้านและถามว่าสบายดีหรือเปล่า ดิฉันบอกว่าสบายดี โดยไม่รู้ตัวเองว่าร่างกายแย่แล้ว เพื่อนได้พาไปให้น้ำเกลือที่คลินิก ไม่มีคลินิกใดยอมให้น้ำเกลือแก่ดิฉันเพราะกลัวจะช็อค และแนะนำให้ไปที่สถานพยาบาลที่ให้ยาเคมีโดยตรง ดิฉันไปนั่งรอแพทย์อยู่นานในวันนั้น เพราะเป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว แพทย์ลงตรวจคนไข้บนตึก ดิฉันแจ้งความประสงค์กับพยาบาลและขอเข้าพักรักษาที่สถานพยาบาล ก็ได้รับการแจ้งว่าไม่จำเป็นให้กลับบ้านและใช้น้ำเกลือบ้วนปากบ่อยๆ ก็จะดีขึ้นเอง

       แต่ตามที่บอกท่านว่าบุญของดิฉันยังมีอยู่ แพทย์ได้เดินมาพอดี และมาตรวจดิฉันตรงที่นั่งรอด้านนอกห้องตรวจแล้วบอกพยาบาลว่าให้ admit ในวันนี้ ส่งเข้าห้องปลอดเชื้อ ห้ามเยี่ยม ให้น้ำเกลือและบ้วนปากด้วยน้ำเกลือทุกๆ ชั่วโมง ให้ยาชาที่ลิ้นก่อนอาหาร และสั่งอาหารมื้อเย็นในวันนั้นเป็นโจ๊กปั่น ดิฉันนึกขำในใจว่าขนาดโจ๊กยังต้องปั่นเลยแล้วจะเหลืออะไรกิน แต่ขำไม่ออกเพราะเพลียมาก หลังจากได้ตระเวนหาที่ให้น้ำเกลือทั้งวัน ดิฉันได้เข้านอนในโรงพยาบาลสมใจ ระหว่างการรักษาดิฉันอ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ ทำใจให้สงบ และเดินไปมาบริเวณรอบเตียงเพื่อออกกำลัง ทั้งที่มีสายน้ำเกลือโยงอยู่ ต่อมาอาการแผลที่ปากดีขึ้น แพทย์ต้องฉีดยาเพิ่มเกร็ดเลือด ฉันรับการรักษาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงกลับบ้าน
 
    ดิฉันกลับมารับประทานอาหารปกติเช่นเดิม และตั้งใจว่าหากได้รับยาเคมีเรียบร้อยแล้ว จึงจะเปลี่ยนอาหารเป็นมังสวิรัติไม่เช่นนั้นร่างกายไม่ไหวแน่ การรับยาเคมีเข็มสุดท้ายเป็นไปด้วยดี หลังจากนั้นร่างกายดิฉันก็กลับเข้าสู่ปกติ ผมเริ่มขึ้นและยาวปกติ ร่างกายมีรูปร่างสมส่วน ผิวพรรณและหน้าตาดูสดใสกว่าเดิมมาก เพื่อนหลายคนทักว่า หายป่วยแล้วสวยขึ้นกว่าเดิมมาก ใช่ค่ะดิฉันตอบ การป่วยคราวนี้มิใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงร่างกายภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้น ดิฉันคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ เข้าใจ และได้รับจากประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้มากมายหลายประการ ได้แก่สิ่งแรกดิฉันเข้าใจหลักธรรมชาติของชีวิตหรือหลักธรรมะมากขึ้น เดิมการใส่บาตรก็ใส่ทุกวันของวันเกิดในแต่ละสัปดาห์ สวดมนต์และทำบุญตามเทศกาลต่างๆ บ้าง

     แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ ดิฉันเห็นว่าเรื่องการทำบุญเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการกระทำและสะสมบุญความดีต่างๆ ไว้ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต ดิฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียชีวิตจากการป่วยครั้งนี้ ฉันคิดว่าการเป็นโรคขณะนั้นทำให้ฉันได้เข้าถึงหลักธรรมะได้ก่อนคนในวัยเดียวกัน อีกทั้งยังมีโอกาสทำและสะสมบุญได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำทาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามโอกาส และการภาวนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นของเราและสามารถนำไปแม้ร่างกายจะสูญสิ้นแล้ว เพื่อนทักดิฉันว่าทำบุญมากและไปวัดบ่อยครั้งขึ้น และท้วงว่าให้ทำบุญกับพระในบ้าน (คุณพ่อและคุณแม่) ก่อน แน่นอนดิฉันทำให้กับท่านก่อนพระนอกบ้านทุกเช้า ดิฉันเลือกทำบุญตามความเหมาะสมและกำลังของตนเอง ในเรื่องของการแก่ เจ็บ ตาย ทุกคนมีสิทธิได้รับสิ่งเหล่านี้เท่าเทียมกัน คนไม่แก่ ไม่เจ็บ ก็ตายได้ ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม การป่วยเป็นโรคร้ายก็มิใช่จะตายทันทีเสมอไป หากดูแลรักษากายและใจให้แข็งแรงสมบูรณ์ มิใช่ว่าทุกคนจะไม่ตาย นี่คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หากมีปัญหาสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เราคืออีกหนึ่งทางออก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โปรดคลิก inbox Facebook Tianxian herb
ปรึกษาผลิตภัณฑ์

กรุณากรอกแบบฟอร์ม เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Tag ที่เกี่ยวข้อง

ยาน้ำเทียนเซียน สมุนไพรจีน มะเร็งเต้านม

รีวิวผู้ใช้

มะเร็งกับการรักษา

มะเร็งกับการดูแล

โดยตั้งแต่ปี 1998 บริษัท เฟยดา จำกัด สาขาประจำประเทศไทย เริ่มดำเนินงานนำเข้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายสมุนไพรเทียนเซียนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

อ่านต่อ >>

ผลิตภัณฑ์ของเรา

ยาน้ำเทียนเซียน

เอ็กซ์แทร็คท์ พลัส

นิทรา เฮอร์เบิล ฟุทโซค

ติดต่อเรา

02-264-2217,02-264-2218,
02-264-2219
เวลาทำการ 08.30 น.-17.00 น.
[email protected]
213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 สุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพ 10110

Copyright © 2020 บริษัท เฟยดา จำกัด. All rights reserved.