15-Jun-2010 อ่าน : 9695 คน
ผู้ป่วยที่มีมะเร็งอยู่ในตัวพบว่าจะมีการใช้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนแปลงคล้ายกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน และมีภาวะวิกฤต กล่าวคือ ผู้ป่วยมะเร็งเหล่านี้จะพบว่ามีการใช้น้ำตาลกลูโคสจากตับมากขึ้นร้อยละ 25-40 คล้ายกับคนไข้เบาหวน แต่ผู้ป่วยเบาหวานจะลดการใช้น้ำตาลจากตับถ้ามีการอดอาหาร แต่ผู้ป่วยมะเร็งจะแตกต่างคือ ยังมีการสร้างกลูโคสเพิ่มขึ้นอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามีระดับ alanine, glycerol และ lactate สูงก็ได้ ผู้ป่วยมะเร็งมักพบว่ามีระดับ lactate ในกระแสเลือดสูง เพื่อให้นำไปสร้างกลูโคสแก่เซลล์มะเร็ง และกับร่างกายของผู้ป่วยเอง ทำให้ระยะแรกจะพบภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดรวดเร็วตามความรุนแรงของโรคด้วย
การให้ยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งที่ผอมมากๆ พบว่า ยาจะได้ผลตอบสนองน้อย และมักจะได้ยาไม่ครบตามที่กำหนดไว้ และเกิดผลเสียต่อระบบเม็ดเลือดบ่อยๆ ยาเคมีบำบัดเองก็มักจะทำให้ร่างกายผู้ป่วยเกิดการขาดอาหาร เพราะยาเคมีมักจะมีพิษทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปากอักเสบ กระเพาะ ลำไส้ทำงานผิดปกติ ดังนั้นในคนป่วยมะเร็งที่ผอมมากๆ จะมีผลต่อการตอบสนองของยาเคมี โดยจะเพิ่มอัตราตายและพิการมากกว่าคนไม่ผอม
มีงานวิจัยน้อยรายที่กล่าวว่า การให้อาหารเสริมช่วยจะทำให้ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเคมีบำบัดดีขึ้น ถึงแม้นว่าการให้อาหารจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับยาเคมีบำบัดได้ครบ course ก็ตาม จึงทำให้มีคนกล่าวว่าอาหารช่วยมะเร็งด้วย ทำให้ยาฆ่ามะเร็งไม่ให้ผลเท่าที่ควร แต่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง
ผู้ป่วยมะเร็งที่ผอมมากๆ แล้วได้รับการรักษาโดยการฉายแสง พบเช่นเดียวกันว่าผู้ป่วยจะตายและพิการสูงขึ้น รังสีฉายแสงก็มีผลทำให้ภาวะขาดอาหารเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นตามปริมาณรังสีที่ได้ตามขนาด, เวลา และตำแหน่งอวัยวะที่ถูกรังสี โดยจะทำให้เกิดคลื่นไส้ อาเจียน ถ้าฉายแสงบริเวณศีรษะ ถ้าฉายแสงบริเวณคอจะมีปากอักเสบ ถ้าฉายแสงตำแหน่งบริเวณอกจะพบว่ากลืนลำบาก ถ้าฉายแสงบริเวณท้องจะเกิดลำไส้อักเสบ และการดูดซึมอาหารเสียไป เหล่านี้เป็นต้น อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อลดปริมาณรังสีที่ให้ แต่นั่นก็หมายความว่าผลลัพธ์จะแย่ตามไปด้วยและเช่นเดียวกันกับการรักษามะเร็งโดยการให้ยาเคมีบำบัด การรักษาด้วยการฉายแสงยังไม่มีงานวิจัยใดที่จะยืนยันว่าการให้อาหารจะช่วยผลลัพธ์ให้ดีขึ้น
ผู้ป่วยมะเร็งจะพบปริมาณสะสมไขมันในร่างกายลดลง ซึ่งสาเกตุมาจากกินน้อย และมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ไขมันในร่างกาย กล่าวคือ จะมีการนำไขมันมาใช้ในปฏิกิริยา oxidation ของกรดไขมันอิสระ และลดการนำไปใช้ของไขมันในหลอดเลือด การนำไขมันไปใช้จะได้จากไขมันสะสมของร่างกาย และไม่สามารถยับยั้งขบวนการนี้โดยการให้กลูโคสเข้าหลอดเลือดเหมือนคนปกติได้
โปรตีนเป็นแหล่งของสารไนโตรเจนในร่างกายคนเรา เซลล์มะเร็งจะมีการใช้โปรตีนโดยดูดไปจากร่างกายของคนไข้ และทำให้โปรตีนที่ถูกใช้โดยร่างกายตามปกติเสียไป กล่าวคือ จะมีการใช้โปรตีนในร่างกายรวดเร็วมีการสร้างจากตับมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ถูกทำลายมากขึ้นด้วย นั้นคือกล้ามเนื้อจะสร้างโปรตีนลดลง แต่มีการทำลายเพิ่มขึ้น ในคนอดอาหารทั่วไปจะมีการสร้างโปรตีนลดลง แต่คนเป็นมะเร็งจะสูญเสียสมดุลของไนโตรเจนแบบคนปกติ คือมีการสลายโปรตีนตลอดเวลาแม้จะเป็นภาวะอดอาหารและวิกฤต
ภาวะทุพโภชนาการในสัตว์ทดลองพบว่า จะทำให้ก้อนมะเร็งไม่เติบโต แต่ไม่มีการศึกษาในคนว่าจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ แต่พบแน่นอนว่าคนป่วยมะเร็งที่ผอมมาก ถ้าผ่าตัดรักษาแล้วผลลัพธ์จะไม่ดีมากกว่าคนไม่ผอม อัตราตายหลังการผ่าตัดพบสูงกว่าในคนผอม พบโรคแทรกซ้อนมากกว่า และมีการติดเชื้อสูงกว่า โรคแทรกซ้อนที่พบได้ เช่น แผลไม่ติดมักจะมีการรั่วบริเวณรอยผ่าตัด มีหนอง มีรูติดต่อ และมีโรคปอดแทรกหลังผ่าตัด ภูมิต้านทานจะไม่ดี
หลังการผ่าตัดโดยทั่วไปจะพบว่าภาวะทุพโภชนาการแย่ลงกว่าเดิมอีก ภาวะวิกฤตที่เกิดหลังผ่าตัดจะทำให้มีการกินเนื้อตัวเองมากขึ้น ใช้พลังงานสะสมของร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะผู้ป่วยมักจะกินอะไรไม่ได้หลังผ่าตัด และมีการศึกษาว่า การให้อาหารทางหลอดเลือดดำก่อนการผ่าตัดผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสามารถลดอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนและลดอัตราการตายด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
• มะเร็งกับอาหาร รู้ทัน ลดเสี่ยง เลี่ยงมะเร็งได้
Tag ที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งกับอาหาร โภชนบำบัด อาหารมะเร็งโดยตั้งแต่ปี 1998 บริษัท เฟยดา จำกัด สาขาประจำประเทศไทย เริ่มดำเนินงานนำเข้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายสมุนไพรเทียนเซียนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
อ่านต่อ >>
ยาน้ำเทียนเซียน
เอ็กซ์แทร็คท์ พลัส
นิทรา เฮอร์เบิล ฟุทโซค
02-264-2217,02-264-2218,
02-264-2219
เวลาทำการ 08.30 น.-17.00 น.
[email protected]
213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 สุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพ 10110
Copyright © 2020 บริษัท เฟยดา จำกัด. All rights reserved.