29-Sep-2025 อ่าน : 17 คน
มะเร็งตับ เป็นโรคร้ายที่พบได้บ่อยในประเทศไทย เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้บ่อย ๆ เช่น ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การรู้เท่าทันความอันตรายของโรคมะเร็งตับ ไปจนถึงรับทราบแนวทางการป้องกันโรค จะเป็นเกราะป้องกันชั้นดีที่ทำให้ห่างไกลจากโรคร้ายโรคนี้ได้
มะเร็งตับ คือภาวะที่เซลล์ตับมีการเจริญเติบโตผิดปกติ และกลายพันธุ์จนควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดก้อนเนื้อร้ายที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย โดยเฉพาะในเพศชาย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งตับมีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักหน่วง รวมถึงการได้รับสารอะฟลาทอกซิน (Aflatioxin) จากอาหารปนเปื้อน
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า มะเร็งตับไม่ใช่โรคที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพตับเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย โดยสามารถแบ่งประเภทของมะเร็งตับได้เป็น 2 ชนิดหลัก คือ
อาการของมะเร็งตับมักไม่แสดงออกอย่างชัดเจนในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากตรวจพบโรคนี้เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามไปแล้ว และแน่นอนว่ายิ่งตรวจพบโรคช้า ยิ่งทำให้การรักษามีโอกาสหายขาดลดลง ดังนั้น การรับรู้ความแตกต่างของมะเร็งตับในแต่ละระยะจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาการที่ควรสังเกตมีดังนี้
อาการในระยะเริ่มต้น โดยมากจะเป็นอาการทั่วไปที่มักถูกมองข้าม เช่น
อาการในระยะลุกลาม ผู้ป่วยจะมีอาการที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มต้นหนักขึ้น
อาการเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ รวมถึงผลกระทบจากการมีก้อนมะเร็งในช่องท้อง การสังเกตสัญญาณเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจึงมีความสำคัญ และแนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาช้าเกินไป
เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านมีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นว่า เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กความผิดปกติของตับโดยละเอียด เราจะช่วยแนะนำสัญญาณต้องสงสัยที่บ่งบอกว่า ถึงเวลาที่ต้องพบแพทย์แล้ว
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับมีได้หลากหลาย โดยส่วนมากเกิดจากการสะสมปัญหามาเป็นเวลานาน ก่อนที่อาการจะปรากฏอย่างชัดเจน สาเหตุมะเร็งตับมีดังนี้
หนึ่งในสาเหตุของโรคมะเร็งตับ คือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ทำให้ตับอักเสบเรื้อรังจนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง และเพิ่มโอกาสเกิดเซลล์มะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
การดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นเวลานานมีผลให้ตับทำงานหนัก และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะตับแข็ง และเป็นปัจจัยสำคัญของโรคมะเร็งตับเช่นกัน
การได้รับสารปนเปื้อนโดยเฉพาะอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่สร้างจากเชื้อราถือเป็นตัวการก่อมะเร็งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยสารพิษชนิดนี้จะพบได้บ่อยในธัญพืช เช่น ถั่ว หรือข้าวโพด
ผู้ที่ต้องสัมผัสสารเคมีหรือสารพิษบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาฆ่าแมลง ตัวทำละลาย หรือการใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษ เมื่อต้องทำงานหนักอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
โรคเรื้อรังบางอย่างก็เป็นปัจจัยเสริมของมะเร็งตับได้เช่นกัน เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และภาวะไขมันพอกตับ (NAFLD) โรคเหล่านี้ทำให้การทำงานของตับผิดปกติ เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้
การรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับ ขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รวมถึงสภาพของตับโดยรวมและสุขภาพของผู้ป่วย โดยวิธีหลัก ๆ ได้แก่:
นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพและโภชนาการควบคู่กับการรักษา ย่อมมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัว มีกำลังและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
การตรวจมะเร็งตับ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้พบเจอความผิดปกติได้ โดยทั่วไป แพทย์มักใช้หลาย ๆ วิธีในการวินิจฉัยโรคร่วมกัน ได้แก่
แม้มะเร็งตับจะเป็นโรคร้าย แต่ก็สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งด้วยการปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง วิธีป้องกันโรคมะเร็งตับ เช่น
แม้ว่ามะเร็งตับจะเป็นโรคร้าย แต่หากเรามีความรู้ ความเข้าใจ และหมั่นตรวจร่างกายอยู่เสมอ ก็มีโอกาสเอาชนะโรคนี้ได้ การรู้ทันปัจจัยเสี่ยง รู้จักอาการเริ่มต้น และรู้แนวทางการป้องกันตัวที่ดี ล้วนเป็นเกราะป้องกันที่จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งตับได้
นอกจากนี้ ยังสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยสมุนไพรอย่าง ยาน้ำเทียนเซียน ที่มีส่วนช่วยบำรุงร่างกายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
น้ำยาเทียนเซียนป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ LINE: @tianxian