โอเมก้า 3 กับ มะเร็ง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

16-Sep-2015 อ่าน : 8338 คน

โอเมก้า 3 กับ มะเร็ง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์มาก โดยตัวมันเองประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็นสำคัญ 2 ชนิด คือ Eicosapentaenoic acid (อีพีเอ-EPA) และ Docosahexaenoic acid (ดีเอชเอ-DHA) อีพีเอ (EPA) เป็นหนึ่งในกรดไขมันอิ่มตัวในโอเมก้า 3 สกัดจากน้ำมันปลา ซึ่งแทรกซึมอยู่ในบริเวณเนื้อ หนัง หัวและหางของปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาเทร้าท์และปลาดาบ เป็นต้น

ประโยชน์ของโอเมก้า 3 (EPA)

ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และป้องกันภาวะน้ำหนักตัวลดในผู้ป่วยมะเร็ง
ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นลิ่มเลือดส่งผลให้ระบบการไหลเวียนเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น
เสริมสร้างการทำงานของระบบสายตาและสมอง

โอเมก้า 3 (EPA) กับมะเร็ง

ตามปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยการปล่อยโปรตีนชนิดหนึ่ง (proinflammatory cytokine) ออกมาเพื่อไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ (inflammatory response) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาตัวเองขณะป่วยหรือบาดเจ็บ แต่กรณีโรคมะเร็งร่างกายไม่สามารถควบคุมการปล่อยโปรตีนไซโตไคน์ได้ ซึ่งเมื่อไซโตไคน์ถูกปล่อยออกมามาก จะส่งผลให้เกิดการเผาผลาญอาหารมากกว่าปกติหลายเท่า และถ้าพลังงานที่ร่างกายได้รับเข้าไปนั้นไม่เพียงพอต่อกระบวนการเผาผลาญ ผู้ป่วยมะเร็งจึงมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยและอิ่มเร็ว ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารจนเกิดปัญหาทุพโภชนาการหรือน้ำหนักตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อการรักษาและคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ

โอเมก้า 3 (EPA) สามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึมให้เข้าสู่ภาวะปกติ โดยลดการสร้าง proinflammatory cytokine จึงช่วยยับยั่งภาวะน้ำหนักตัวลดลงในผู้ป่วยได้ โดยจากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโอเมก้า 3 (EPA) จำนวน 2 กรัมต่อวัน จึงจะมีผลช่วยลดการสร้าง proinflammatory cytokine ในร่างกายได้

แหล่งอาหารโอเมก้า 3 ได้แก่

ปลาทะเลน้ำลึก อาทิ แซลมอน ปลาเทร้าท์ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล เป็นต้น
แหล่งอื่น อาทิ เมล็ดวอลนัท บรอคโคลี, ดอกกะหล่ำ, เต้าหู้, ผักขม, กุ้ง, หอยแครง, ปลาเฮริง, ถั่วเหลือง เป็นต้น
ปลาไทย ๆ อาทิ ปลาทู ปลาน้ำจืดโดยเฉพาะปลาสวาย ก็มีโอเมก้าสูงมาก แทบจะดีกว่าปลาแซลมอน

เคล็ดลับการรับประทานกรดไขมันโอเมก้า 3

เนื่องจากโอเมก้า-3 อยู่ในกลุ่มกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ทำให้ถูกทำลายง่ายกว่าไขมันชนิดอื่น เช่น ไม่ทนความร้อนสูงจากการทอด ไม่ทนต่อการทำลายจากออกซิเจน ฯลฯ แต่อาหารจำพวกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ มีวิตามินอีสูง จะช่วยปกป้องโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ไม่ได้เสื่อมสภาพหรือเกิดการหืน

ดังนั้น วิธีกินอาหารให้ได้โอเมก้า-3 มากพอ คือ กินปลาที่ไม่ผ่านการทอดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง กินผักใบเขียว เมล็ดพืช ฯลฯ เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีท (เติมรำ) อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง กินถั่วหลายๆ ชนิด ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องยากที่ผู้ป่วยมะเร็ง จะได้รับโอเมก้า 3 (EPA) ให้เท่ากับขนาดที่แนะนำ 2 กรัมต่อวัน เพราะต้องกินปลาทะเลในปริมาณที่มาก ดังนั้น การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีโอเมก้า 3 ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกได้