ผลไม้หวานจัดอันตรายสำหรับผู้ป่วยมะเร็งไหม?

28-Oct-2025 อ่าน : 8 คน

ผลไม้หวานจัดอันตรายสำหรับผู้ป่วยมะเร็งไหม?

ความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำตาลกับเซลล์มะเร็ง

มีข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า "น้ำตาล" คืออาหารชั้นดีของเซลล์มะเร็งหรือไม่ ตามหลักการทางชีววิทยา เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วผิดปกติ จึงจำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลูโคส (Glucose) ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง เซลล์มะเร็งจึงมีแนวโน้มที่จะดูดซึมกลูโคสเร็วกว่าเซลล์ปกติ

อย่างไรก็ตาม การงดน้ำตาลโดยสิ้นเชิงไม่ได้แปลว่าจะสามารถ "อดอาหาร" เซลล์มะเร็งได้ เพราะร่างกายยังคงต้องการน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงานหลักให้กับสมองและเซลล์ปกติ การขาดสารอาหารอาจส่งผลเสียต่อการรักษาและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยมากกว่า

ผลไม้หวานจัดกับน้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) ที่ต้องระวัง

ผลไม้เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผลไม้ที่มีรสหวานจัดมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสในระดับสูง

ฟรุกโตส จะถูกนำไปเผาผลาญที่ตับเป็นหลัก ซึ่งการบริโภคฟรุกโตสในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ การดื้อต่ออินซูลิน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation) ในร่างกาย ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่อาจกระตุ้นการเจริญเติบโตหรือการกลายพันธุ์ของเซลล์ได้
มีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่า ฟรุกโตส อาจมีบทบาทในการเป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการบริโภคในปริมาณที่สูงมากเกินความจำเป็นในแต่ละวัน

ข้อควรระวังในการบริโภคน้ำตาลและผลไม้สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

ผู้ป่วยมะเร็งควรเน้นการบริโภคอาหารที่สมดุล โดยมีข้อควรระวังเกี่ยวกับน้ำตาลและผลไม้ดังนี้:

ควบคุมปริมาณน้ำตาลรวม: แนะนำให้ควบคุมปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลจากขนมหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสหวาน รวมถึงน้ำตาลจากผลไม้รสหวานจัด ควรจำกัดปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน (ตามคำแนะนำทั่วไป)
เลือกผลไม้ "ไม่หวานจัด": เน้นการบริโภคผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวานจัดและมีใยอาหารสูง เช่น
- กลุ่มหวานน้อย/ปานกลาง: ฝรั่ง, แอปเปิ้ล (ปอกเปลือก), ชมพู่, แก้วมังกร
- หลีกเลี่ยง/จำกัด: ผลไม้ที่น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน, มะม่วงน้ำดอกไม้, ลำไย, องุ่น, เงาะ และน้ำผลไม้แยกกากที่มีน้ำตาลสูง
ปริมาณที่เหมาะสม: ควรบริโภคผลไม้สดในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป และควรกินเป็นผลไม้ชิ้นมากกว่าน้ำผลไม้ เนื่องจากน้ำผลไม้จะสูญเสียใยอาหารและมีน้ำตาลที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่า
สุขอนามัยในการบริโภค: ผู้ป่วยมะเร็งมักมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรเลือกผลไม้ที่สามารถปอกเปลือกได้ และควรล้างผลไม้ให้สะอาดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพ

คำแนะนำ

การบริโภคผลไม้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งไม่จำเป็นต้องงด แต่ควรเน้นที่ "ชนิด" และ "ปริมาณ" โดยเน้นผลไม้ที่ไม่หวานจัด เพื่อรับวิตามินและใยอาหาร ในขณะที่จำกัดการรับน้ำตาลฟรุกโตสสูง

การปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์ผู้ดูแลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้รับคำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมกับสภาวะโรคและแผนการรักษาเฉพาะบุคคล